Editorial/บทบรรณาธิการ: การขนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ

พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง            
โครงการจัดตั้งภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน    
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี    

ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าแพทย์ฉุกเฉินมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการขนย้าย ผู้ป่วยทางอากาศค่อนข้างมาก ทั้งในการขนย้ายเพื่อส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลและระหว่างประเทศก็ตาม  ดังนั้นแพทย์ฉุกเฉินจึงควรเข้าใจหลักการขนย้ายผู้ป่วยบาดเจ็บทางอากาศเป็น อย่างดีเพื่อลดการสูญเสียหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยในระหว่างขน ย้ายทางอากาศ ความรู้เรื่องเวชศาสตร์การบินเริ่มเป็นที่สนใจกันมาตั้งแต่ปีคศ.1700 จนต่อมาได้มีการทดลองสร้างห้องควบคุมระดับความดันอากาศของ Paul Bert (Paul Bert's altitude chamber experiments)ขึ้นในปีคศ.1878 หลังจากนั้นก็เริ่มมีรายงานการศึกษาต่างๆออกมามากมายเกี่ยวกับการบินจาก โรงเรียนฝึกสอนการบินต่างๆของกองบินในอเมริกา  ทำให้ความรู้เกี่ยวกับเวชศาสตร์การบินขยายไปอย่างกว้างขวางมาก  โดยเฉพาะเร็วๆนี้มีสงครามในอิรักหรือเฮอริเคนในอเมริกาเกิดขึ้นรวมทั้ง เหตุการณ์แผ่นดินไหวต่างๆซึ่งทำให้มีความจำเป็นต้องขนย้ายผู้บาดเจ็บสาหัส ออกจากพื้นที่เกิดเหตุทางอากาศบ่อยครั้ง ดังนั้นการขนย้ายทางอากาศจึงเริ่มเป็นที่น่าสนใจและมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

โดยทั่วไปแพทย์หรือผู้ป่วยที่เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์หรือเครื่องบินที่มี ปีกติดลำตัว(fixed-wing transport) นั้น ห้องต่างๆในเครื่องบินต้องถูกปรับสภาพความดันให้เหมาะสมตามระดับการบินที่ สูงขึ้นเพื่อให้ปริมาณออกซิเจนเพียงพอในทุกระดับความสูงของการบินดังภาพ ที่1และ2  ถ้าห้องเคบินสามารถควบคุมความดันให้เท่ากับความดันที่ระดับน้ำทะเลเสมอก็จะ ทำให้สะดวกในการขนย้ายผู้ป่วย แต่พบว่า<1%ของการขนย้ายทางอากาศที่จะทำได้เช่นนั้นเนื่องจากประสิทธิภาพ ของเครื่องบินไม่เพียงพอ  ระยะเวลาการบินที่ยาวนานมาก หรือปริมาณเชื้อเพลิงไม่เพียงพอ เป็นต้น ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องเผชิญกับความดันของอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปตามระดับความ สูงของการบินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาพที่1การขนย้ายทางอากาศ


ภาพที่2 สภาพภายในเครื่องบินเพื่อขนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ

การเปลี่ยนแปลงระดับความสูงอย่างรวดเร็ว (Rapid decompression)

เมื่อห้องเคบินในเครื่องบินไม่สามารถควบคุมความดันในห้องได้แล้วที่ระดับ ความสูงระหว่าง7600 เมตร (25,000 ฟุต) และ13,100 เมตร (43,000 ฟุต) จะเริ่มก่อปัญหาให้แก่ผู้ป่วย โดยที่ระดับความสูง7600 เมตร (25,000 ฟุต) ความดันของออกซิเจนในเลือดจะลดลงเหลือ 30.4 มม.ปรอท   และ ความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดเพียง  27  มม.ปรอท  ความผิดปกติเหล่านี้จะเกิดขึ้นทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลงระดับความสูง
เมื่อห้องเคบินไม่สามารถควบคุมความดันอากาศในเครื่องบินได้แล้ว เวลาเครื่องบินเปลี่ยนระดับความสูงก็จะทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว  เนื่องจากในที่สูงจะมีความดันอากาศน้อยลงและทำให้ความดันของออกซิเจนในถุงลม น้อยกว่าความดันของออกซิเจนในเลือดที่มาสู่ปอด ดังนั้นความดันออกซิเจนจากเลือดจึงแพร่เข้าสู่ถุงลมจนเป็นสาเหตุทำให้เกิด ภาวะเลือดขาดออกซิเจนตามมา นอกจากนี้ถ้าห้องเคบินไม่สามารถปรับความดันในห้องได้แล้วก็จะทำให้ผู้โดยสาร ในเครื่องบินต้องสัมผัสกับอากาศหนาวเย็นประมาณ-57ºC (-70ºF) ที่ระดับความสูง 10,667 เมตร (35,000 ฟุต)อีกด้วย

Decompression sickness

Decompression sickness (DCS) เป็นภาวะแทรกซ้อนของhypobaric ที่เกิดเมื่อความดันอากาศรอบตัวลดลงจะทำให้ก๊าซไนโตรเจนที่ละลายในเลือด ระเหยออกจากเลือดแล้วกลายเป็นก๊าซเข้าไปแทรกในอวัยวะต่างๆโดยเฉพาะในข้อและ ระบบประสาท  ก๊าซเหล่านี้อาจไม่ทำอันตรายต่ออวัยวะก็ได้แต่ถ้าก่ออาการขึ้นก็เรียกว่า DCS มักพบเหตุการณ์นี้ในผู้ดำน้ำแต่พบมีรายงานกรณีที่เกิดขึ้นจากการบินเมื่อปี คศ.1930
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิด DCSคือ เมื่ออยู่ในระดับความสูง5,500เมตร (18,000 ฟุต) , ระยะเวลาที่ยาวนานพอในระดับความสูงนั้นๆ,การเปลี่ยนแปลงระดับความดันอากาศ อย่างรวดเร็ว , มีการออกแรงภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงระดับความดันอากาศ และอายุ>40ปี
อาการมักเกิดขึ้นอย่างช้าๆและผู้ป่วยมักมีอาการเมื่อเครื่องบินลงจอดยังพื้น ดินแล้ว  อาการขั้นแรกมักมีอาการคัน  รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งเคลื่อนไหวใต้ผิวหนังและบวมกดบุ๋มตามร่างกาย าการที่รุนแรงมากขึ้นก็อาจเป็นปวดข้ออย่างรุนแรงเมื่อเคลื่อนไหว สาเหตุเกิดจากมีก๊าซไนโตรเจนเข้าไปในข้อจนก่ออาการปวดข้อมักเกิดขึ้นกับข้อ ใหญ่ๆ การใช้เครื่องวัดความดันพันรอบข้อที่ปวด จากนั้นให้เพิ่มความดันของสายพันรัดรอบข้อนั้นจนอาการปวดข้อหายไปได้ก็ช่วย ยืนยันว่าเป็นโรคDCSนี้จริง ในรายที่มีอาการรุนแรงมากก็อาจเกิดก๊าซลอยไปอุดหลอดเลือดในปอดหลายแห่งจน ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ไอแห้งและหอบเหนื่อยจนกระทั่งอาจมีความดันเลือดตก  นอกจากนี้บางรายก็อาจมีก๊าซลอยไปอุดหลอดเลือดในระบบประสาทจนเป็นอันตรายได้

การรักษาทำได้โดย

1.ลดระดับความสูงลง(ปรับความดันของอากาศโดยรอบ)
2.ให้ดมออกซิเจน100%เพื่อลดปริมาณก๊าซไนโตรเจนในร่างกาย
3.ส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาด้วย hyperbaric  chamber ข้อบ่งชี้ได้แก่ อาการปวดข้อที่รักษาแล้วไม่ดีขึ้นหรือมีอาการทางระบบหัวใจ ปอดหรือระบบประสาทเกิดขึ้น

ภาวะขาดออกซิเจน

ภาวะขาดออกซิเจนคือการที่เซลของเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายขาดออกซิเจน  แพทย์เวชศาสตร์การบินควรประเมินและแก้ไขภาวะขาดออกซิเจนของผู้ป่วยให้ดีพอ ก่อนการขนย้ายทางเครื่องบิน    ที่ระดับความสูงมากๆทำให้เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนชนิด hypoxic hypoxiaมากที่สุด กลไกของhypoxic hypoxiaเกิดจากการแลกเปลี่ยนออกซิเจนที่ระดับถุงลมไม่ดีพอได้แก่การอยู่ใน ที่สูงก็ทำให้มีความดันของออกซิเจนรอบตัวต่ำหรือในผู้ที่จมน้ำ  ภาวะขาดออกซิเจนจากหลอดลมตีบในโรคหอบหืดหรืองถุงลมปอดโป่งพอง ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดของปอด  ถุงลมแฟบในปอดหรือปอดอักเสบติดเชื้อเป็นต้น      ดังนั้นเครื่องบินควรมีออกซิเจนเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยที่เกิดภาวะขาด ออกซิเจนขึ้น
อาการเริ่มแรกของการขาดออกซิเจนมักมีอาการเพ้อฝันอารมณ์ดี(euphoria) การป้องกันการขาดออกซิเจนในการบินมักทำโดยให้ดมออกซิเจนร่วมกับมีการควบคุม ความดันในห้องเคบิน      ส่วนถังออกซิเจนที่ใช้ในโรงพยาบาลไม่นิยมนำมาใช้ในเครื่องบินทั้งนี้เพราะมี ความชื้นปนอยู่กับออกซิเจน  ดังนั้นออกซิเจนที่ใช้บนเครื่องบินควรจะมีความบริสุทธิ์มากและมีความชื้น <0.005 มก./ลิตร เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำในถังออกซิเจนเกิดการแข็งตัวจนรบกวนตัวควบคุมการปล่อย ออกซิเจนออกจากถัง
ทีมขนย้ายทางอากาศในประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบด้วย
1.แพทย์อาจเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน วิสัญญีแพทย์ หรือศัลยแพทย์
2.พยาบาลที่ชำนาญในICU
3.บุคลากรที่ดูแลช่วยหายใจให้แก่ผู้ป่วย(respiratory therapist)

สรรีรวิทยาของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงตามระดับความสูง

ระบบทางเดินหายใจ

โดยทั่วไปเมื่อขึ้นสู่ที่สูงร่างกายจะเพิ่มปริมาตรการหายใจ(tidal volume)และอัตราการหายใจให้เร็วขึ้น   นอกจากนี้แล้วแพทย์ก็ไม่ควรขนย้ายผู้ป่วยที่มีภาวะลมรั่วในโพรงเยื่อหุ้มปอด ถ้ายังไม่ได้ใส่สายเอาลมออกจากปอด(intercostals drainage,ICD)ชนิดที่มี Heimlich valve หรือห้องเคบินไม่สามารถปรับระดับความดันอากาศเท่าระดับน้ำทะเลได้   นอกจากนี้แล้วผู้ป่วยควรถูกถอดสายICDออกแล้วนานมากกว่า72ชม.จึงจะบินได้ เพราะแม้ว่าภาพถ่ายรังสีของปอดจะไม่พบลมในโพรงเยื่อหุ้มปอดเลยแต่มีรายงาน ว่าในขณะกำลังบินผู้ป่วยกลับพบมีลมรั่วออกมาในโพรงเยื่อหุ้มปอดได้    ผู้ป่วยที่มี bullous emphysemaอาจเสี่ยงต่อการมีถุงลมแตกรั่วจนเกิดลมในโพรงเยื่อหุ้มปอดได้เมื่อ บินขึ้นที่สูงและอยู่ในห้องเคบินที่ปรับระดับความดันไม่ได้ เมื่อผู้ป่วยใส่ท่อหลอดลมคอแล้วควรใช้น้ำเกลือเพื่อใส่เข้าในcuffของท่อแทน การฉีดลมเข้าไปเหมือนปกติเพื่อหลีกเลี่ยงการที่ลมในcuffขยายตัวออกเมื่อบิน ขึ้นที่สูง ถ้าไม่ทำเช่นนี้ก็ต้องคอยวัดความดันของลมในcuffบ่อยๆแทน โดยแนะนำให้ดูดลมบางส่วนออกจากcuffเมื่อบินขึ้นและฉีดลมเพิ่มเข้าไปใน cuffเมื่อกำลังบินลงจอด

ภาวะหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง

โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรังมักมีความดันก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์สูงในเลือดได้  ศูนย์กระตุ้นการหายใจของผู้ป่วยประเภทนี้ตอบสนองต่อภาวะขาดออกซิเจนที่จะ กระตุ้นให้หายใจได้ ถ้าผู้ป่วยประเภทนี้ได้สูดดมออกซิเจนมากก็จะกดศูนย์หายใจทำให้หายใจช้าลงและ เป็นผลให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งในเลือดเพิ่มขึ้นจนเกิดการซึมหลับที่ เรียกว่า carbon dioxide narcosis เมื่อขึ้นสู่ที่สูงพบว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะนี้ได้น้อยลง ทั้งนี้เพราะในที่สูงมักทำให้ความดันออกซิเจนในถุงลมลดลงนั่นเอง  ดังนั้นขณะบินสูงขึ้นแพทย์จึงควรระวังการเกิดภาวะขาดออกซิเจนในผู้ป่วยและ ควรให้ผู้ป่วยทุกรายดมออกซิเจนไว้เสมอ

โรคหอบหืด

สิ่งแวดล้อมในการบินอาจเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการหอบหืดกำเริบได้ อันได้แก่ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงและฝุ่นควันต่างๆ

ระบบหัวใจและหลอดเลือด

แม้ผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจไม่ต้องดมออกซิเจนขณะอยู่ที่พื้นดินแต่แพทย์จำเป็น ต้องให้ผู้ป่วยดมออกซิเจนขณะบินทุกราย ทั้งนี้เพราะถ้าผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจแม้เกิดมีภาวะขาดออกซิเจนเพียง เล็กน้อยก็สามารถกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมากขึ้นได้  นอกจากนี้แล้วแพทย์ควรขนย้ายโดยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจนอนบนกระดานกู้ชีพ (CPR  board )ทุกครั้งเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการกู้ชีพไว้ตลอดเวลา

ระบบประสาท

ผู้ป่วยที่เพิ่งมีกะโหลกแตกหรือเพิ่งได้รับการผ่าตัดกะโหลกศีรษะจะต้องแน่ใจ ว่าไม่มีอากาศตกค้างในกะโหลกเพราะเมื่อเครื่องบินบินสู่ที่สูงก็จะทำให้ ปริมาตรอากาศขยายตัวออกในกะโหลกจนเบียดดันเนื้อสมองได้ การที่มีน้ำไขสันหลังไหลออกมาทางหูควรจะสงสัยว่าอาจมีอากาศตกค้างอยู่ใน กะโหลกของผู้ป่วยได้
การเปลี่ยนระดับความสูงอย่างรวดเร็วระหว่างการบินอาจทำให้มีฟองก๊าซไนโตรเจน ลอยไปอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้ นอกจากนี้ขณะเปลี่ยนแปลงระดับความดันของอากาศอย่างรวดเร็วก็จะทำให้ร่างกาย เกิดขาดออกซิเจนได้ซึ่งส่งผลเสียต่อสมองมากกว่าก๊าซไนโตรเจนเสียอีก
ระดับความสูง>2400 เมตร (8000 ฟุต) อาจกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคเดิมเป็นไมเกรนอยู่แล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีอาการปวดศีรษะเมื่อเปลี่ยนระดับความดันอากาศโดยทันที

Air sickness

อาการเวียนศีรษะจากการเปลี่ยนระดับความดันอากาศที่เรียกกันว่า Air sickness (หรือ kinetosis หรือ motion sickness) เป็นอาการที่พบบ่อยได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียและเวียนศีรษะ มักพบในผู้ที่ไม่คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงระดับความสูงของเครื่องบินมาก่อน   อาจก่อปัญหาในการขนย้ายผู้ป่วยที่บาดเจ็บกระดุกสันหลังหรือผู้ป่วยที่หมด สติได้เพราะเสี่ยงต่อการเกิดสูดสำลักเศษอาหารเข้าปอดได้สูง ดังนั้นอาจตัดสินใจใส่ท่อหลอดลมคอก่อนขึ้นเครื่องเพื่อลดโอกาสเกิดสูดสำลัก เข้าปอด  ผู้เดินทางด้วยการบินควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่อิ่มเกินไป  ถ้ามีอาการเวียนศีรษะแล้วก็ควรเป่าลมเย็นเข้าหน้าหรือให้หลับตาลงก็จะช่วยลด อาการลงได้ และอาจกินยา dimenhydrinateหรือยาแก้แพ้ชนิดอื่นๆได้

ระบบตา

ผู้ป่วยที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บหรือผ่าตัดตามาก่อนไม่ควรบินในช่วงนั้น ทั้งนี้เพราะอากาศที่ตกค้างอยู่ในกระบอกตาจะขยายตัวออกในที่สูงจนทำให้ความ ดันในลูกตาเพิ่มขึ้น

ระบบหูคอจมูก

Barotraumaเกิดจากการขยายตัวและหดตัวของอากาศภายในช่องหูชั้นกลาง  ไซนัส และโพรงของฟันนั่นเอง
Barotitis mediaเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการบินอันเกิดจากมีภาวะอักเสบที่เกิดตามมาจากความ แตกต่างระหว่างความดันของอากาศในช่องหู กับความดันของอากาศรอบๆตัว ผู้ป่วยอาจได้ยินเสียงดังวิ้วๆในหูระหว่างปีนเขาขึ้นที่สูง แต่ในการบินมักก่ออาการหูอื้อได้มากกว่า
ท่อeustachian จะเชื่อมต่อเพื่อปรับระดับความดันระหว่างช่องหูชั้นกลางและอากาศภายนอก ส่วนหน้า2/3ของท่อeustachianเป็นเนื้อเยื่อ membranocartilaginousซึ่งปลายท่อมักปิดอยู่  ถ้าบินขึ้นสูง ความดันของอากาศรอบๆจะลดลง  ดังนั้นอากาศก็จะรั่วจากช่องหูชั้นกลางเข้าไปในช่องปากเพื่อปรับความดันใน ช่องหูให้เท่ากับความดันอากาศที่อยู่รอบตัว แต่เมื่อบินลงจอดนั้นปลายท่อ eustachianก็จะปิดและไม่มีอากาศเข้าไปในช่องหูชั้นกลางได้จึงทำให้ความดันใน หูชั้นกลางไม่เท่ากับอากาศภายนอกร่างกาย   ถ้าผู้ป่วยมีอาการหวัดหรือโรคภูมิแพ้ร่วมก็จะทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้เด่นชัด มากขึ้นเนื่องมาจากเยื่อบุจมูกที่บวมจะไปปิดปลายท่อeustachian  ดังนั้นในขณะบินลงจอดนั้น ความดันในช่องหูจะน้อยกว่าความดันอากาศรอบนอกจึงทำให้เกิดการดึงรั้งเยื่อ แก้วหูบุ๋มเข้าไปได้จนก่ออาการปวดหูได้ แต่ถ้าเคี้ยว กลืน หาวนอนหรือมีการเคลื่อนไหวของกรามส่วนล่างแล้วก็จะทำให้กล้ามเนื้อ tensor and levator veli palatini musclesหดตัวพร้อมกับทำให้ปลายท่อ eustachianเปิดออกจึงช่วยลดอาการหูอื้อลงได้  
การป้องกันหูอื้ออีกวิธีหนึ่งคือ ควรลดระดับความสูงของเครื่องบินลงช้าๆเพื่อให้ช่องหูชั้นกลางปรับความดันให้ เท่ากับอากาศภายนอกได้ทัน การนอนหลับขณะเครื่องบินกำลังบินลงจอดจะทำให้เสี่ยงต่อหูอื้อได้ง่ายทั่งนี้ เพราะคนมักหาวหรือกลืนน้อยลง รวมทั้งไม่สนใจว่าเริ่มมีอาการหูอื้อขึ้นแล้วด้วยจนปล่อยให้เกิดอาการไปมาก แล้ว ดังนั้นบางสายการบินจึงมักปลุกผู้โดยสารก่อนเครื่องบินลงจอดเสมอ เด็กทารกที่ร้องไห้ระหว่างเครื่องบินลงจอดอาจแสดงว่าเกิดอาการหูอื้อก็ได้ ดังนั้นขณะเครื่องบินลงควรจะกระตุ้นให้เด็กดูดนมเพื่อช่วยให้ปลายท่อ eustachianเปิดออก
การรักษาหูอื้อ ทำได้โดยการเปิดปลายท่อ eustachianนั่นอง  มีการใช้ยา pseudoephedrineหรือทำ Valsalva maneuver( ให้ปิดปากและจมูกพร้อมกับหายใจอออก )  หรืออาจเอียงคอไปพร้อมกับการทำ Valsalvaเพื่อช่วยเปิดปลายมท่อ Eustachian  นอกจากนี้ก็อาจใช้วิธีหาวนอน เคี้ยวหมากฝรั่งก็ได้  มีรายงานการใช้ยาหยอดหูชนิดที่ทำให้หลอดเลือดหดตัวเช่น oxymetazoline (Afrin) หรือกินยาลดบวมของเยื่อจมูกเช่น pseudoephedrineเพื่อทำให้ปลายท่อeustachianเปิด เป็นต้น มีการใช้วิธี politzerization (ดังภาพที่3)ทำได้โดยใช้ถุง politzerที่มีลูกยางที่เป่าลมเข้าไปทางnasopharynxเพื่อเปิดปลายท่อ eustachian

ภาพที่3 วิธีทำ politzerization

ระบบทางเดินอาหาร

เมื่ออยู่ในที่สูง อากาศที่ตกค้างอยู่ในทางเดินอาหารจะขยายตัวขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยที่มีโรคทางเดินอาหารจึงไม่ควรบิน อันได้แก่ภาวะติดเชื้อในทางเดินอาหาร ลำไส้ขาดเลือด ผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดทางเดินอาหารมาในเวลาไม่นานนัก  diverticulitis  ไส้ติ่งอักเสบ  ลำไส้อุดกั้น หรือลำไส้อักเสบจากสาเหตุใดก็ตาม ทั้งนี้เพราะอาการอักเสบเหล่านี้จะทำให้ผนังลำไส้บวมและไม่สามารถทนต่อความ ดันของอากาศที่ขยายเพิ่มมากขึ้นในทางเดินอาหารเมื่อเครื่องบินกำลังบินขึ้น สู่ที่สูงได้ ในบางรายควรได้รับการใส่สายสวนให้อาหารทางจมูกและสายสวนทางก้นเพื่อปล่อยลม ออกจากทางเดินอาหาร ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดลำไส้ทะลุ

ระบบโลหิตวิทยาและหลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน

การเดินทางที่ยาวนานย่อมเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน  มีการแนะนำให้ผู้เดินทางด้วยเครื่องบินยืนหรือเดินทุก2-3ชม.เพื่อป้องกัน หลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน  ในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงก็อาจให้กินASAหรือยาละลายลิ่มเลือดเพื่อ ป้องกันไว้ก่อน
ผู้ป่วยบางรายที่เสี่ยงต่อการขาดออกซิเจนได้ง่ายเช่น sickle cell anemia ก็ควรได้รับการดมออกซิเจนตลอดเวลา ผู้ป่วยที่ซีดก็ควรรับการให้เลือดเพื่อให้ฮีโมโกลบินสูงมากกว่า8.0 กรัม/100 มล.ก่อนทำการบิน
ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือเด็ก
ถ้ามีการขนย้ายผู้หญิงตั้งครรภ์ก็ควรให้ดมออกซิเจนเพื่อไม่ให้เด็กในครรภ์ ขาดออกซิเจน สำหรับการขนย้ายเด็กก็ควรให้เด็กดมออกซิเจนและห่มผ้าให้อบอุ่นตลอดเวลา

ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

ผู้ป่วยที่มีกระดูกหักใหม่ๆควรใส่เฝือกที่ผ่าเปิดด้านข้างทั้ง2ข้างหรือใช้ เฝือกที่รองด้านหลัง(splint)นานอย่างน้อย48ชม.ก่อนทำการบินเพื่อหลีกเลี่ยง การมีเนื้อเยื่อบวมจนเกิดcompartment syndrome  นอกจากนี้แพทย์ควรหลีกเลี่ยงการใช้pneumatic splintsเพราะอากาศในsplintsอาจขยายตัวออกเมื่อบินขึ้นที่สูงจนทำให้มีการกด รัดเนื้อเยื่อบริเวณที่มีกระดูกหักได้

การขนย้ายทางอากาศสำหรับผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ

แพทย์ไม่ควรให้ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงใช้เวลาไปในการบินที่ยาวนาน  นอกจากนี้ผุ้ป่วยดังต่อไปนี้ก็ไม่ควรถูกขนย้ายทางอากาศเช่น ผู้ป่วยที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดภายใน30วันหรือ ผู้หญิงตั้งครรภแก่ในช่วง3เดือนสุดท้ายก่อนคลอด เป็นต้น
แพทย์ควรมีหน้าที่ดังนี้
1.ประเมินผู้ป่วยก่อนบิน  และเตรียมอุปกรณ์และยาที่อาจจำเป็นต้องใช้ในขณะบินให้พร้อมและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละโรค
2.ทบทวนตัวโรคของผู้ป่วยและติดต่อกับสถานที่จะรับผู้ป่วยไปดูแลต่อเนื่องให้เรียบร้อย

อุปกรณ์และยาในเครื่องบิน

ในเดือนตุลาคม1996องค์การอาหารและยาของประเทศอเมริกา ได้กำหนดให้มี automated external defibrillators (AEDs)ในเครื่องบินทั่วไป   องค์การบินในอเมริกา(Federal of Aerospace Medical Association,FAA)กำหนดให้ทุกเครื่องบินมีอุปกรณ์กู้ชีพที่จำเป็นได้แก่ glucose, nitroglycerin tablets, injectable diphenhydramine, and epinephrine ส่วนในปี1998 FAA ได้กำหนดให้มีการาเตรียมยาที่จำเป็นก่อนการขนย้ายทางอากาศได้แก่ Acetaminophen, Albuterol ,Aspirin ,Diazepam ,Aluminum hydroxide-magnesium carbonate ,Glucagon ,Ketorolac ,Lidocaine ,Meclizine,Oxymetazoline ,Promethazine ,Simethicone

Desynchrony หรือ Jet Lag

Desynchronyเกิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเช่นอาหาร เวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ระบบในร่างกายปรับตัวไม่ทัน อาการได้แก่ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้อาเจียน อ่อนล้าทั้งกายและใจ การตัดสินใจผิดพลาดได้  การดื่มแอลกอฮอล์ อายุมากและภาวะขาดออกซิเจนเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิด desynchronyได้ง่ายขึ้น
กฎการบินกำหนดให้นักบินหรือผู้ช่วยควรพักให้เพียงพออย่างน้อย12ชั่วโมงก่อน เริ่มบินและควรนอนครบ8ชม.เป็นอย่างน้อยอีกด้วยเพื่อป้องกันการ เกิดDesynchrony ส่วนการรักษามักทำได้โดยใช้ยานอนหลับเพื่อปรับสภาพการนอน รวมทั้งเริ่มมีการทดลองใช้Melatoninกันบ้างแล้ว

สรุป

วิทยาศาสตร์การบิน (Aerospace medicine)เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉินทั้งนี้เพราะ แพทย์ฉุกเฉินจำเป็นต้องขนย้ายผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากสงครามต่างๆที่ อุบัติมากขึ้นในปัจจุบัน  ผลกระทบจากการบินต่อร่างกายที่สำคัญคือ ภาวะขาดออกซิเจน(hypoxia)และ การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศ(hypobarism) ดังนั้นแพทย์ฉุกเฉินต้องประเมินตัวโรคของผู้ป่วยว่ามีโอกาสเสี่ยงที่จะขาด ออกซิเจนเมื่อบินสู่ที่สูงหรือไม่ก่อนตัดสินใจขนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ  ระดับที่สูงจะทำให้ผู้ป่วยดังต่อไปนี้เกิดภาวะขาดออกซิเจนได้ เช่น ปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจน้อย(low cardiac output) , ซีดหรือเป็นโรค hemoglobinopathies(ได้แก่ธาลัสซีมีย) การดูแลเบื้องต้นที่จำเป็นทำได้โดยให้ผู้ป่วยดมออกซิเจนร่วมกับให้อยู่ใน ห้องเคบินที่ปรับระดับความดันอากาศได้  นอกจากนี้ยังแนะนำให้ผู้ป่วยขยับแขนขาบ่อยร่วมกับทานยาต้านเกร็ดเลือดอีก ด้วย(antiplatelet)เพื่อป้องกันการเกิดหลอดเลือดดำที่ขา  ส่วนผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจหรือโรคสมองจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ส่วนช่องหูชั้นกลาง ไซนัสและระบบทางเดินอาหารก็อาจเกิดมีอากาศขยายตัวภายในอวัยวะเหล่านี้ได้จน เกิดอันตรายขึ้น สำหรับอุปกรณ์ที่ควรมีประจำในเครื่องบินที่ใช้ขนย้ายผู้ป่วยได้แก่ AEDsและยาที่จำเป็นต่างๆ

เอกสารอ้างอิง

1.Ogle John, MD, MPH, FACEP, Col , Ross Heather, MD. Aerospace Medicine. eMedicine(online)2008,Oct 8. Available from: URL:http://emedicine.medscape.com/article/810246

Tags:

ประกาศคณะอนุกรรมการฝึกอบรมและสอบ