อุบล ยี่เฮ็ง
หัวหน้าพยาบาลศูนย์กู้ชีพ “นเรนทร” โรงพยาบาลราชวิถี
อุปนายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย
บทนำ
จากอดีตที่ผ่านมา นับตั้งแต่ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทยยังไม่เป็นระบบ ต่างคนต่างทำ ซึ่งโดยมากภาคเอกชนในนามของมูลนิธิหรือชมรมในรูปแบบอาสาสมัครเป็นผู้ทำงานด้านนี้มาก่อน ส่วนในภาครัฐ ก็ไม่สามารถเข้าไปดูแลได้อย่างทั่วถึง ทำให้เกิดการตายโดยไม่สมควร และเกิดภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากการขาดองค์ความรู้และประสบการณ์ และยังพบปัญหาต่างๆที่ตามมาอีกมากมาย ทั้งยังไม่มีบุคลากรที่ปฏิบัติงานในรถพยาบาลฉุกเฉินโดยตรง ส่วนมากเป็นอาสาสมัคร รถพยาบาลฉุกเฉินยังไม่มีมาตรฐานและมีอุปกรณ์ไม่เพียงพอ ไม่มีหลักสูตรและการฝึกอบรมบุคลากรที่ปฏิบัติงานในรถพยาบาลฉุกเฉิน ไม่มีงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ณ.จุดเกิดเหตุ จนกระทั่งมีความพยายามในการจัดตั้งระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จนสำเร็จเป็นรูปธรรมครอบคลุมทั่วประเทศ และรัฐบาลได้มีนโยบายให้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก ทั้งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2551 เป็นต้นมา แสดงให้เห็นว่า ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทย มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในการพัฒนา จำเป็นต้องอาศัยการระดมสมอง การร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และหนึ่งในนั้นก็คือ พยาบาล ซึ่งเป็นกำลังหลักของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินมาตั้งแต่ระยะบุกเบิกจนถึงปัจจุบัน (อุบล ยี่เฮ็ง, 2550) โดยเป็นทั้งผู้ให้บริการ ครูผู้สอน ครูผู้นิเทศ ผู้ร่วมบุกเบิกการบริหารระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นผู้บริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินในโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ในประเทศไทย ในด้านบริการ และวิชาการ นับตั้งแต่ กรมการแพทย์ โดยศูนย์กู้ชีพ “นเรนทร” โรงพยาบาลราชวิถี ได้จัดตั้งโครงการนำร่องการให้บริการการรักษาพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2538 เป็นต้นมา ได้พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมต่างๆสำหรับบุคลากรที่ปฏิบัติงานในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง จนขยายผลครอบคลุมทั่วประเทศในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักสูตรอบรมพยาบาลกู้ชีพ ( EMS Nurse) ที่ได้ขยายผลไปในหลายๆจังหวัด โดยเนื้อหาสาระส่วนใหญ่เน้นในเรื่ององค์ความรู้และทักษะในการกู้ชีพ เพื่อให้พยาบาลกู้ชีพ มีองค์ความรู้ มีทักษะ และ มีความมั่นใจ ในการปฏิบัติ แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้พยาบาลกู้ชีพ สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล มิใช่แค่เพียงองค์ความรู้และทักษะ แต่จะต้องมีการบริหารจัดการที่ดีร่วมด้วย อีกทั้ง นโยบายของรัฐบาล ที่จัดให้มีหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้พยาบาลซึ่งเป็นกำลังหลักที่ต้องรับผิดชอบในการบริหารหน่วย EMS ในโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะพยาบาลรุ่นใหม่ ที่ยังขาดประสบการณ์หรือมีประสบการณ์น้อยในด้าน EMS เกิดความกังวลใจ ไม่มั่นใจ ขาดที่ปรึกษา และไม่มีแนวทางในการบริหารจัดการหน่วย EMS ที่ได้รับผิดชอบ ทั้งในด้านบุคลากร ด้านการบริการ ด้านวิชาการและการเรียนการสอน และด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ไม่รู้ว่า ควรจะเริ่มต้นตรงไหน เริ่มต้นอย่างไร รู้สึกขาดที่ปรึกษาในการทำงานด้าน EMS ที่ไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน ผู้เขียนยังจำได้ว่า เมื่อครั้งที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้า พยาบาล ศูนย์กู้ชีพ “นเรนทร” โรงพยาบาลราชวิถี ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540 คือเมื่อครั้งที่โรงพยาบาลราชวิถี ได้จัดทำโครงการนำร่องการบริการการแพทย์ฉุกเฉินขึ้น ทั้งๆที่ผู้เขียนทำงานในห้องฉุกเฉินมาตั้งแต่เรียนจบ แต่ก็ยังรู้สึกเครียด สับสน เพราะไม่เคยรู้เรื่องEMS มาก่อน ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน จนถึงปัจจุบันถึงแม้จะรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่มีพยาบาลโทรศัพท์หรือมาหาผู้เขียนด้วยตัวเอง เพื่อปรึกษาหารืองานด้าน EMS บางคนถึงกับร้องไห้ก็ยังมี เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งผู้เขียนเข้าใจความรู้สึกของพยาบาลที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บริหารหน่วย EMS ได้เป็นอย่างดี และสิ่งนี้น่าจะเป็นบทบาทที่เป็นจุดอ่อนของพยาบาล ที่ยังพร่องอยู่ ซึ่งถ้ามีหนทางเติมให้เต็ม คงจะทำให้พยาบาลมีกำลังใจ และสามารถบริหารหน่วยงานได้อย่างมีความสุข ฉะนั้นการมีหลักสูตรที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการหน่วย EMS สำหรับพยาบาล จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ที่จะทำให้พยาบาลที่ได้รับมอบหมาย ให้เป็น หรือจะต้องเป็นหัวหน้าหน่วย EMS มีแนวทาง และแนวคิด ในการนำไปพัฒนาการบริหารจัดการหน่วย EMS ที่รับผิดชอบได้อย่างมั่นใจ และมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน อันเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้อง กับบริบทและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
อนึ่ง ยังไม่เคยมีหลักสูตรการบริหารจัดการหน่วย EMS ในประเทศไทยมาก่อน ดังนั้น ศูนย์กู้ชีพ “นเรนทร” โรงพยาบาลราชวิถี ในฐานะต้นแบบของการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงมีแนวคิดในการจัดทำโครงการการอบรมการบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาลขึ้น ( EMS Management for Nurse) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้หลักสูตรการบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาลที่เหมาะสมในประเทศไทย แนวคิดนี้ได้เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 ซึ่งผู้เขียนในฐานะหัวหน้าพยาบาล ศูนย์กู้ชีพ “นเรนทร” โรงพยาบาลราชวิถี จึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้
วิธีดำเนินการ
ผู้เขียนได้เริ่มต้นรวบรวมข้อมูลจากประสบการณ์ของตนเอง และจากพยาบาลทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องที่รับผิดชอบงานEMS ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งเราได้เคยพูดคุย ปรับทุกข์ ปรึกษาหารือ และซักถามแสดงความคิดเห็นด้วยกันบ่อยๆ อีกทั้งทบทวนประสบการณ์เดิมที่ไม่เคยรู้ เคยลองผิดลองถูก ค้นหาปัญหาอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นในการทำงาน และแนวทางแก้ไขที่สามารถปฏิบัติได้จริงและเกิดผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ นำมารวบรวมเพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการนี้ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเนื่องจากในประเทศไทย ยังไม่เคยมีตำราโดยตรงที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการด้าน EMS ผู้เขียนจึงได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำราต่างประเทศซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวจากการรวบรวมประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานด้าน EMS ซึ่งผู้เขียน นำมาเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง กับประสบการณ์และข้อมูลที่ผู้เขียนได้ทบทวนและรวบรวมไว้ แล้วประมวลเป็นเนื้อหาสาระสุดท้าย ที่ควรบรรจุไว้ในโครงการ และเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา ผู้เขียนได้เรียนเชิญผู้ทรงคุณวุฒิสายแพทย์ พยาบาลและเวชกรฉุกเฉิน ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้านในมุมมองสหวิชาชีพ
จากการทบทวน และศึกษาเพิ่มเติมจากตำราต่างประเทศ คือ Pre – hospital care Administration (ซึ่งเนื้อหาสาระส่วนใหญ่ได้จากการรวบรวมประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงาน EMS) และจากข้อคิดเห็นเพิ่มเติมของผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านEMSสายแพทย์ จำนวน 4 ท่าน สายพยาบาล จำนวน 4 ท่าน และเวชกรฉุกเฉินขั้นพื้นฐาน จำนวน 1 ท่าน ทำให้ผู้เขียนได้ข้อสรุปของเนื้อหาสาระของโครงการซึ่งน่าจะถือได้ว่าเป็น การนำร่อง...โครงการอบรมการบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาล( EMS Management for Nurse) ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
สิ่งที่ได้รับ
หน่วยวิชาในการอบรม มีดังนี้
หน่วยการเรียนที่ 1 ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน
หน่วยการเรียนที่ 2 บทบาทพยาบาลไทยในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทย
หน่วยการเรียนที่ 3 ภาวะผู้นำ จริยธรรม คุณธรรม
หน่วยการเรียนที่ 4 และการเสริมสร้างบุคลิกภาพ
หน่วยการเรียนที่ 5 ความรู้เบื้องต้นในการบริหารจัดการ
หน่วยการเรียนที่ 6 การบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาล
หน่วยการเรียนที่ 7 การตัดสินใจ
หน่วยการเรียนที่ 8 การพัฒนาคุณภาพ
หน่วยการเรียนที่ 9 การติดต่อสื่อสาร
หน่วยการเรียนที่ 10 เทคนิคการสอน
หน่วยการเรียนที่ 11 การจัดการความขัดแย้งและการจัดการความเครียด
หน่วยการเรียนที่ 12 การสร้างแรงจูงใจ
หน่วยการเรียนที่ 13 การจัดการองค์ความรู้สู่การปฏิบัติ
หน่วยการเรียนที่ 14 การจัดการระบบข้อมูลสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่ 15 การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด
หน่วยการเรียนที่ 16 การสร้างเครือข่าย
หน่วยการเรียนที่ 17 การวิจัยในงานประจำ
หน่วยการเรียนที่ 18 การเขียนโครงการ
หน่วยการเรียนที่ 19 การเตรียมความพร้อมในสถานการณ์ต่างๆ
หน่วยการเรียนที่ 20 เทคนิคการทำงานให้มีความสุข
และกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการ ดังนี้
วัตถุประสงค์ทั่วไป
เพื่อพัฒนาบุคลากรพยาบาล ให้มีความรู้ ความสามารถ ในการบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทย ภายใต้บริบทและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ได้อย่างเหมาะสม
วัตถุประสงค์เฉพาะ เพื่อให้ผู้เข้าอบรม
1.มีความรู้และเข้าใจ บทบาทของพยาบาล ในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ในประเทศไทย
2.มีความรู้ในการบริหารจัดการต่างๆที่เกี่ยวข้องในงาน EMSใน หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินทั้งภาวะปกติและภัยพิบัติ
3.มีความรู้ความสามารถ ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านEMS ให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ได้อย่างเหมาะสม
4.มีความรู้ในการตัดสินใจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ
5.มีความรู้ในการพัฒนาคุณภาพของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง
6.มีความรู้และสามารถสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม
7.มีความรู้ในการบริหารความขัดแย้งและความเครียด
8.มีความรู้ในการสร้างแรงจูงใจ
9.มีความรู้และสามารถเขียนโครงการได้
10.มีความรู้ในการจัดการระบบข้อมูลสารสนเทศ
11.มีความรู้ในการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด
12.มีความรู้ และแนวทางในการสร้างเครือข่ายและการทำงานร่วมกับชุมชนในทุกภาคส่วน ได้อย่างเป็นที่ยอมรับ
13.มีความรู้ในการทำงานประจำให้เป็นงานวิจัย
14.มีความรู้ในการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานในสถานการณ์ต่างๆ
15.มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ในการพัฒนาหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ในทุกๆด้านที่เกี่ยวข้อง
16.มีภาวะการเป็นผู้นำ มีบุคลิกภาพ และทัศนคติที่ดีต่อระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน
กลุ่มเป้าหมาย
ผู้เข้าอบรมเป็นพยาบาลวิชาชีพที่เป็นผู้บริหารหน่วย EMS ในศูนย์กู้ชีพของโรงพยาบาลต่างๆทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๆ จำนวน 30 คน และมีคุณสมบัติ ดังนี้
5.1 สำเร็จการศึกษาสาขาพยาบาลศาสตร์ระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
5.2 มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในศูนย์กู้ชีพ อย่างน้อย 1 ปี
หลังจากนั้นผู้เขียนจึงดำเนินการจัดทำโครงการการอบรมการบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาล( EMS Management for Nurse) โดยกำหนดจัดการอบรมตั้งแต่วันที่ 11- 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 นอกจากนี้ ได้วางแผนสำหรับผู้เข้าอบรมที่ต้องการศึกษาดูงานเพิ่มเติม ให้มีการศึกษาดูงานในต่างประเทศที่มีการพัฒนางาน EMS จนเป็นที่ยอมรับ เพื่อพัฒนาพยาบาล ให้มีความพร้อม ในการบริหารจัดการหน่วย EMS ที่รับผิดชอบได้อย่างมั่นใจ มีประสิทธิภาพ
และเมื่อเสร็จสิ้นการอบรม จะนำผลการประเมินของผู้เข้าอบรม มาปรับปรุง พัฒนาให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้าอบรมในรุ่นต่อไป และที่สำคัญยิ่งกว่า คือผู้เขียนหวังว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการนำร่องที่องค์กรพยาบาลสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้เป็นหลักสูตรการบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาล( EMS Management for Nurse) ในอนาคตได้อย่างเหมาะสม และมีการขยายผลต่อไปเพื่อให้ครอบคลุมและทั่วถึง เช่นเดียวกับโครงการอื่นๆที่ศูนย์กู้ชีพ “นเรนทร” โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ซึ่งเป็นกรมวิชาการได้เคยจัดทำมา นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลขององค์กรวิชาชีพและความมีคุณค่าของวิชาชีพพยาบาล ที่สามารถพัฒนาปรับเปลี่ยนบทบาท ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
สรุป
จากอดีตที่ผ่านมา นับตั้งแต่ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทยยังไม่เป็นระบบ จนกระทั่งมีความพยายามในการจัดตั้งระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จนสำเร็จเป็นรูปธรรมครอบคลุมทั่วประเทศ และรัฐบาลได้มีนโยบายให้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก อีกทั้งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2551 เป็นต้นมา พยาบาล นับเป็นกำลังหลักของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินมาตั้งแต่ระยะบุกเบิกจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นทั้งผู้ให้บริการ ครูผู้สอน ครูผู้นิเทศ ผู้ร่วมบุกเบิกการบริหารระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็นผู้บริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินในโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งในส่วนกลาง ซึ่งในด้านบริการ และวิชาการ ได้มีการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมพยาบาลกู้ชีพ ( EMS Nurse)มาอย่างต่อเนื่อง โดยเนื้อหาสาระส่วนใหญ่เน้นในเรื่ององค์ความรู้และทักษะในการกู้ชีพ เพื่อให้พยาบาลกู้ชีพ มีองค์ความรู้ มีทักษะ มีความมั่นใจ ในการปฏิบัติงาน แต่ยังไม่เคยมีหลักสูตรการบริหารจัดการหน่วย EMSสำหรับพยาบาล ในประเทศไทยมาก่อน ดังนั้น ศูนย์กู้ชีพ “นเรนทร” โรงพยาบาลราชวิถี ในฐานะต้นแบบของการบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว จึงมีแนวคิดในการจัดทำโครงการ การอบรมการบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาลขึ้น ( EMS Management for Nurse) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้หลักสูตรการบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาลที่เหมาะสมในประเทศไทย มีวิธีดำเนินการโดยทบทวนข้อมูลจากประสบการณ์ตรงและจากพยาบาลที่เป็นผู้รับผิดชอบหน่วย EMS ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ค้นหาปัญหาอุปสรรค แนวทางแก้ไขที่เคยปฏิบัติได้จริงและเกิดผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ พร้อมศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำราต่างประเทศ นำมาเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง กับประสบการณ์ที่ได้ทบทวนและรวบรวมไว้ แล้วประมวลเป็นเนื้อหาสาระสุดท้าย บรรจุไว้ในโครงการ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสายแพทย์ พยาบาล และเวชกรฉุกเฉินขั้นพื้นฐาน ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลรอบด้านในมุมมองสหวิชาชีพ โครงการนี้ น่าจะถือได้ว่าเป็นโครงการนำร่องที่องค์กรพยาบาลสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้เป็นหลักสูตร การบริหารจัดการหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับพยาบาล( EMS Management for Nurse) ในอนาคตได้อย่างเหมาะสม เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลขององค์กรวิชาชีพและความมีคุณค่าของวิชาชีพพยาบาล ที่สามารถพัฒนาปรับเปลี่ยนบทบาท ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เอกสารอ้างอิง
1.อุบล ยี่เฮ็ง. บทบาทพยาบาลฉุกเฉิน ปัจจุบันและอนาคต : บทบาทพยาบาลไทยในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทย. ใน: ยุวเรศ สิทธิชาญบัญชา,บรรณาธิการ. หนังสือประกอบการประชุมวิชาการเวชศาสตร์ฉุกเฉินครั้งที่ 7. ณ โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพฯ: บริษัท N P Press Limited Partnership; 2550.หน้า 27- 35
2. Joseph J. Fitch. Prehospital Care Administration .2nd ed. Washington: KGP Media;2004.